วันพยาธิแพทย์ไทย

“วันพยาธิแพทย์ไทย”

โดย อนุกรรมการวิชาการ

ราชวิทยาลัยพยาธิแพทย์แห่งประเทศไทย

เมื่อกล่าวถึงแพทย์เฉพาะทางที่ปฏิบัติงานในสาขาต่างๆ นั้น พยาธิแพทย์เป็นหนึ่งในสาขาที่ประชาชนทั่วไปรู้จักน้อยที่สุด   มีคนจำนวนมากยังไม่เข้าใจถึงบทบาทและความสำคัญของพยาธิแพทย์ที่มีต่อการดูแลรักษาผู้ป่วย และก็มีอยู่ไม่น้อยที่ไม่ทราบว่าจะเรียกแพทย์กลุ่มนี้อย่างไร ซึ่งที่ถูกต้องจะเรียกว่า“พะ-ยา-ทิ-แพด” แต่มักอ่านคำหน้าผิดเป็น “พะ-ยาด” ซึ่งหมายถึง ปรสิต จึงมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าพยาธิแพทย์คือแพทย์ที่ทำหน้าที่รักษา “โรคหนอนพยาธิ”

ความจริงแล้ว พยาธิแพทย์คือแพทย์ที่มีบทบาทด้านการวินิจฉัยโรค โดยการตรวจวิเคราะห์เนื้อเยื่อ ของเหลวในร่างกายของผู้ป่วยหรือตรวจศพผู้ป่วยที่เสียชีวิตในโรงพยาบาล แล้วแปลผลสิ่งที่ผิดปกติ ออกมาเป็นการวินิจฉัยโรค ซึ่งแพทย์ผู้รักษาจะนำผลการวินิจฉัยนั้นไปใช้ในการรักษาคนไข้หรือเป็นองค์ความรู้ทางการแพทย์ต่อไป

พยาธิแพทย์แบ่งออกได้เป็นสองสาขา คือ พยาธิวิทยากายวิภาค และพยาธิวิทยาคลินิก   พยาธิแพทย์ในสาขาแรกนั้น จะทำหน้าที่วินิจฉัยโรคจากการวิเคราะห์ดูความเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงสร้าง และรูปร่างของเนื้อเยื่อหรือเซลล์ แล้วให้การวินิจฉัยโรคออกมา ส่วนพยาธิแพทย์คลินิกนั้นทำหน้าที่ควบคุมดูแล งานด้านห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ให้มีคุณภาพ รวมทั้งให้การวินิจฉัยโรคจากสิ่งส่งตรวจต่างๆ ที่ส่งมาตรวจทางห้องปฏิบัติการดังกล่าว ซึ่งครอบคลุมการตรวจจากเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ สิ่งส่งตรวจอื่นๆ จากผู้ป่วย ทั้งนี้เนื่องจากการแพทย์แผนปัจจุบันนั้น จำเป็นต้องใช้หลักฐานจากผลการทดสอบทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์เป็นส่วนที่สำคัญ สำหรับประกอบการดูแลรักษาผู้ป่วย เพื่อให้ผลการรักษาเกิดประสิทธิผลที่ดีที่สุด ในการปฏิบัติงานทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ดังกล่าวต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของทีมแพทย์พยาธิวิทยาคลินิก นักวิทยาศาสตร์ และนักเทคนิคการแพทย์ โดยแพทย์พยาธิวิทยาคลินิกเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูลที่เกี่ยวกับการทดสอบ และการให้คำปรึกษาแนะนำด้านการเชื่อมโยงผลการทดสอบทางห้องปฏิบัติการกับลักษณะทางคลินิกแก่แพทย์ที่ดูแลรักษาผู้ป่วย ตามมาตรฐานของห้องปฏิบัติการระดับสากลและนานาอารยประเทศ

ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า “พยาธิแพทย์” มีบทบาทสำคัญอย่างมากในกระบวนการดูแลรักษาผู้ป่วย เนื่องจากเป็นผู้ให้การวินิจฉัยโรค ซึ่งหากปราศจากแพทย์สาขานี้แล้ว แพทย์ผู้รักษาคนไข้ย่อมไม่สามารถรักษาความเจ็บป่วยได้อย่างเหมาะสม เพราะไม่ทราบว่าผู้ป่วยเป็นโรคอะไร

แพทย์อีกสาขาหนึ่งที่มีการทำงานใกล้เคียงกับพยาธิแพทย์ก็คือ “แพทย์นิติเวช” โดยแทนที่จะมีบทบาทด้านการวินิจฉัยโรคเพื่อการรักษาเช่นเดียวกับพยาธิแพทย์ แพทย์เฉพาะทางสาขานี้จะมีบทบาทเกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมเป็นหลัก โดยมีหน้าที่นำข้อมูลที่ได้จากการตรวจผู้ป่วยไม่ว่าจะเป็นจากผู้ต้องสงสัยหรือผู้เสียหาย ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และเสียชีวิตไปแล้ว ไปเป็นพยานหลักฐานในกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ในชั้นพนักงานสอบสวนไปจนถึงการดำเนินการพิจารณาในศาล

ปัจจุบันนี้ ประเทศไทยยังขาดแคลนพยาธิแพทย์ และแพทย์นิติเวชอยู่มากพอสมควร ซึ่งหากเปรียบเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว เช่น อเมริกา ยุโรปบางประเทศ ญี่ปุ่น หรือ ประเทศเกาหลีใต้ ฯลฯ สัดส่วนของแพทย์ทั้งสองสาขาต่อประชากรของบ้านเรายังถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ

ราชวิทยาลัยพยาธิแพทย์แห่งประเทศไทยซึ่งมีผู้บริหารทั้งที่เป็นพยาธิแพทย์และแพทย์นิติเวช ตระหนักถึงปัญหานี้มาตลอด จึงได้พยายามรณรงค์ให้แพทย์รุ่นใหม่ๆเกิดความสนใจ อยากเลือกเรียนต่อทางพยาธิวิทยาและนิติเวชศาสตร์เพื่อยึดเป็นอาชีพในอนาคต เพิ่มขึ้น

กิจกรรมหนึ่งที่ราชวิทยาลัยฯกำหนดให้มีขึ้น เพื่อตอกย้ำถึงความสำคัญของพยาธิแพทย์รวมถึงแพทย์นิติเวช คือ การกำหนดให้มี“วันพยาธิแพทย์ไทย”ขึ้นมา ซึ่งตรงกับวันที่ 26 พฤษภาคม ของทุกปี โดยนำเอาวันที่ “ศาสตราจารย์นายแพทย์ เฉลิม พรมมาส” ซึ่งเป็นพยาธิแพทย์รุ่นบุกเบิกในประเทศไทย ถึงแก่อนิจกรรมมากำหนดให้เป็นวันดังกล่าว  

ความจริงแล้ว ในต่างประเทศ เช่น ประเทศอังกฤษ ราชวิทยาลัยพยาธิแพทย์(Royal College of Pathologists) ของเขาเองก็มีการกำหนดวันพยาธิวิทยานานาชาติขึ้นมาเหมือนกัน (International Pathology Day) โดยในวันดังกล่าว จะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อประชาสัมพันธ์งานของพยาธิแพทย์ให้กับสังคมได้รับทราบ เช่น การจัดนิทรรศการเกี่ยวกับงานทางพยาธิวิทยาตามโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าชมหรือการจัด workshop ในโรงเรียน และพิพิธภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ทั้งหลายให้แก่เยาวชน เพื่อจะได้รู้จักแพทย์ที่ทำงานทางด้านนี้ซึ่งอาจเป็นการช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆเหล่านี้อยากเป็นพยาธิแพทย์ในอนาคต

ราชวิทยาลัยพยาธิแพทย์แห่งประเทศไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การกำหนดให้มี “วันพยาธิแพทย์ไทย” ซึ่งตรงกับ วันที่ 26 พฤษภาคม ของทุกปีขึ้นมาในบ้านเรานั้น จะช่วยให้ทุกฝ่ายเห็นถึงความสำคัญของงานทางด้านพยาธิวิทยาและนิติเวชศาสตร์ในประเทศ ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันอีกอย่างให้เกิดการพัฒนางานทั้งสองสาขานี้ยิ่งๆขึ้น อันจะส่งผลให้มาตรฐานการดูแลรักษาผู้ป่วยรวมถึงมาตรฐานทางกระบวนการยุติธรรมของไทยดีขึ้นตามมา